วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

ฅนข่าวเท้าติดดิน: บทที่ ๑๐ สื่อพลเมืองปัจเจก ต้นทางวารสารศาสตร์พลเมือง



สื่อพลเมืองปัจเจก :
ต้นทางวารสารศาสตร์พลเมือง

จาก: ฅนข่าวเท้าติดดิน
โดย: ภัทรพล สุธาวุฒิไกร

ก่อนที่จะเกิดสื่อพลเมือง ในรูปองค์กรต่างๆ ดังที่อธิบายไว้ในหลายบทก่อนหน้านี้ ทั้งในต่างประเทศ และในเมืองไทย ต่างก็เริ่มต้นมาจาก การเป็นผู้สื่อข่าวพลเมืองด้วยตนเอง ไม่ได้ขึ้นกับองค์กรใด เปิดเว็บล็อกกับผู้ให้บริการที่ไม่มีอิทธิพลครอบงำ เพื่อเสนอในสิ่งที่ตนต้องการโดยอิสระ

ซึ่งผู้คนต่างๆ เหล่านี้ ยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต่อไปนี้เป็นบุคคลผู้บุกเบิก และมีชื่อเสียงจากกระบวนการผลิตข่าวสารภาคพลเมือง

บ.ก.ลายจุด
สมบัติ บุญงามอนงค์
“หนูหริ่ง” หรือ “บ.ก.ลายจุด” 
เป็นนามแฝงที่ สมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้ก่อตั้ง และประธานมูลนิธิกระจกเงา ผู้ก่อตั้งบ้านนอกทีวี แกนนำกลุ่ม ๑๙ กันยาฯ ต้านรัฐประหาร และแกนนำรุ่นที่ ๒ ของแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ที่ได้รับการแต่งตั้ง หลังจากที่แกนนำรุ่นแรก เข้ารายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กรณีเคลื่อนขบวนไปชุมนุม หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ แล้วถูกจับกุม

สมบัติเริ่มทำงานอาสาสมัคร ตั้งแต่อายุได้ ๒๐ ปีเศษ โดยเป็นสมาชิก อาสาสมัครละครเพื่อการพัฒนาเยาวชน (มะขามป้อม) สังกัดกลุ่มสื่อชาวบ้าน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๑ มีชื่อเล่นในกลุ่มเพื่อนว่า “หนูหริ่ง”

เมื่อเกิดรัฐประหารโดย คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ เขาร่วมกับเพื่อน ๕ คน เคลื่อนไหวทำกิจกรรมทางการเมือง โดยรณรงค์ต่อต้านรัฐประหาร และเรียกร้องให้ยกเลิกกฎอัยการศึก

ต่อมาในปลายปีนั้น เขาและเพื่อนกลุ่มเดิมร่วมกันก่อตั้ง “กลุ่มศิลปวัฒนธรรมกระจกเงา” ซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้าเป็นโครงการ ในมูลนิธิโกมลคีมทอง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕ และต่อมาจัดตั้งเป็น “มูลนิธิกระจกเงา”[๑] ในระยะแรกทางกลุ่มฯ จัดกิจกรรมการแสดงละครเพื่อสังคม ถึงประมาณ ๑๕๐ รอบต่อปี และจัดกิจกรรมค่ายเยาวชน ในชุมชนและโรงเรียนทั่วประเทศ ปีละกว่า ๓๐ ครั้ง

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ เริ่มมีประชาชนทั่วไปส่วนหนึ่ง มีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในครอบครอง และสามารถเข้าถึงการใช้งานได้ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกระบวนการสื่อสาร และระบบข้อมูลข่าวสาร กลุ่มฯกระจกเงาจึงเริ่มศึกษาและพัฒนางาน เชิงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ด้วยการเปิดเว็บไซต์ของเอ็นจีโอสัญชาติไทยแห่งแรกคือ “www.thebangkok.com” (แต่ภายหลังเปลี่ยนเป็น www.bannok.com) ตลอดจนพยายามส่งเสริมให้ปฏิบัติงานพัฒนาสังคม ด้วยการใช้ไอซีที[๒]

จากนั้นในปี พ.ศ. ๒๕๔๓ มูลนิธิกระจกเงาจัดทำโครงการสนับสนุนการผลิตรายการโทรทัศน์ภายในหมู่บ้าน โดยผลิตร่วมกับชาวบ้านในท้องถิ่น เพื่อเข้าร่วมประกวดในงาน “วันนวัตกรรม” (Innovation Day) และได้รับการคัดเลือกให้จัดทำโครงการ โดยได้รับทุนสนับสนุนจากธนาคารโลก ซึ่งนำมาใช้จัดหาและติดตั้งอุปกรณ์ ตลอดจนจัดการอบรมบุคลากรชุมชนขาวเขา ที่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย อันเป็นพื้นที่ปฏิบัติงานตามโครงการ ในปีต่อมา (พ.ศ. ๒๕๔๔)

๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ “บ้านนอกทีวี” สถานีโทรทัศน์ชุมชนแห่งแรกในประเทศไทย เริ่มออกอากาศอย่างเป็นทางการ โดยในระยะแรกทำการแพร่ภาพ ทุกวันจันทร์-วันเสาร์ เวลา ๑๙.๓๐-๒๐.๐๐ น. ตามที่ชุมชนเสนอไว้ในการประชุมก่อนหน้านั้น และใช้เครื่องส่งสัญญาณกำลังต่ำขนาด ๕ วัตต์ ในคลื่นความถี่ยูเอชเอฟที่ประกอบขึ้นเอง โดยมีทั้งรายการสดและบันทึกเทป[๓]

“บ้านนอกทีวี เกิดจากการพัฒนาทางเทคโนโลยีดิจิตอล ที่มีผลต่อการผลิตวิดีโอ ทำให้การผลิตรายการโทรทัศน์ง่ายขึ้น เป็นไปได้มากขึ้น แต่อุปสรรคของการผลิตก็ยังมีอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการคิดรายการ ที่ต้องแข่งขันกับฟรีทีวี เราต้องไม่ลืมว่า ผู้ชมในหมู่บ้านชาวเขาก็มีทางเลือกเหมือนกัน ไม่ใช่มีแต่ช่องที่เราผลิตช่องเดียว อีกทั้งการผลิตรายการสั้นๆ ก็ต้องมีการถ่ายทำ แม้จะอยู่ในพื้นที่ แต่ก็ต้องมีการจัดเตรียมการ รวมถึงการตัดต่อ กว่าออกมาจะเป็นผลงาน” สมบัติเล่าถึงบ้านนอกทีวีโดยสังเขป

“เมื่อโครงการดำเนินไปได้หนึ่งปี ซึ่งก็ตอบคำถามหลักๆ ที่เราอยากรู้ ทั้งด้านกระบวนการเทคนิค การมีส่วนร่วม และเนื้อหาที่เกิดขึ้นของสถานีโทรทัศน์ชุมชน ดังนั้นเมื่อครบกำหนด เราจึงค่อยๆ ลดบทบาทลงในที่สุด ส่วนกรณีที่กรมไปรษณีย์โทรเลขนำหมายมาค้น ไม่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด แต่เพราะทีมงานเห็นว่า ภารกิจในการวิจัยจบสิ้นแล้ว จึงถือโอกาสยุติการถ่ายทอดผ่านคลื่น”

เรื่องราวที่สมบัติกล่าวถึงนั้น เกิดขึ้นในช่วงท้ายของการออกอากาศบ้านนอกทีวี โดยกรมไปรษณีย์โทรเลข ที่เพิ่งแปรรูปเป็นสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ในขณะนั้นขอหมายค้นจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อเข้าตรวจสอบเครื่องส่งโทรทัศน์ของบ้านนอกทีวี ซึ่ง กทช.เห็นว่าขัดต่อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จนถึงกับยึดเครื่องส่งไปเลยทีเดียว

หลังจากนั้น บทบาทที่เกี่ยวข้องกับสื่อพลเมืองของเขาเริ่มขึ้นอีกครั้ง ทันทีที่ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้า คปค.ทำรัฐประหารเมื่อค่ำวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ (ดูเพิ่มจากเนื้อหาในบทที่ ๐๔) โดยสมบัติจดทะเบียนเปิดเว็บไซต์ www.19sep.net พร้อมทั้งเว็บบอร์ดทันที เพื่อให้พลเมืองเน็ตใช้เป็นช่องทางเผยแพร่ ข้อมูลข่าวสารที่ถูกปิดกั้นทางโทรทัศน์ โดย คปค.ในกลางดึกของคืนนั้นเอง

หน้าแรกของเว็บไซต์ “ศูนย์เฝ้าระวังการรัฐประหารแห่งชาติ”
วันรุ่งขึ้น สมบัติดำเนินการต่อด้วยการก่อตั้ง “เครือข่าย ๑๙ กันยาฯ ต้านรัฐประหาร” ซึ่งนับเป็นองค์กรต่อต้านเผด็จการ คปค.แห่งแรกของเมืองไทย โดยมีแหล่งรวมพลอยู่ภายในเว็บบอร์ด www.19sep.org (ที่เปิดขึ้นใหม่หลังเว็บไซต์เดิมถูกปิดในเช้าวันที่ ๒๐ กันยายน) ต่อจากนั้นเครือข่าย ๑๙ กันยาฯ ก็มีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในโลกไซเบอร์และต่อมาในโลกจริง รวมทั้งยังสร้างปรากฏการณ์ ให้มีผู้ก่อตั้งองค์กรต้านรัฐประหารตามมาอีกมากมาย

ระหว่างนั้น ชื่อของ “บก.ลายจุด” เริ่มปรากฏที่โต๊ะราชดำเนิน “พันทิปคาเฟ่ รวมทั้งใน “ประชาไทเว็บบอร์ด” พร้อมข่าวสารเชิงลึกต่างๆ ทางการเมืองมากมายมาเผยแพร่ นอกจากนี้ เขายังใช้ช่องทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ส่งข่าวให้้สมาชิกที่ลงทะเบียนด้วย เนื่องจากสมบัติอยู่ในเครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชน เขาจึงรู้จักผู้คนจำนวนมาก และมักมีความลับต่างๆ มาเปิดเผยอยู่เนืองๆ


หลังจากรัฐบาล พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เครือข่าย ๑๙ กันยาฯ เปลี่ยนชื่อเป็น “ศูนย์เฝ้าระวังการรัฐประหารแห่งชาติ” (www.nocoup.org) โดยกิจกรรมซึ่งเป็นที่จดจำคือ การแจกสติกเกอร์ข้อความ “เบื่อม็อบพันธมิตร” และการออกรณรงค์ให้ประชาชน ลงประชามติไม่รับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยสวมเสื้อสีแดงเป็นสัญลักษณ์ อันเป็นจุดเริ่มต้นของ “กลุ่มคนเสื้อแดง” นั่นเอง

น่าสังเกตว่า การปรากฏตัวขึ้นปราศรัยบนเวทีคนเสื้อแดงหน้าทำเนียบรัฐบาลของเขา เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๒ เวลา ๒๐.๑๕ น. ได้ก่อให้เกิดกระบวนการสื่อพลเมืองอย่างมีนัยสำคัญอีกครั้ง โดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า

“เรามีความเชื่อว่า ประเทศควรให้สิทธิกับพลเมืองทุกคนเท่าเทียมกัน…ทุกประเทศ ทุกสังคม เราพัฒนามาได้เพราะมีพลเมืองที่ดี คือพลังของเมืองที่สร้างเมืองขึ้นมา ไม่ว่าคุณจะเป็นกรรมกร คนขับแท็กซี่ รัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้น้อยหรือชั้นผู้ใหญ่ เราล้วนแล้วเป็นพลเมือง…เราเป็นผู้สร้างเมือง ผู้หล่อเลี้ยงเมืองให้เคลื่อนไปข้างหน้า”

ปราศรัยกับคนเสื้อแดง
“พี่น้องครับ เราถูกปิดล้อมการสื่อสารสู่มวลชนไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยประกาศภาวะฉุกเฉิน ข่าวสารที่ออกเป็นการออกข่าวเพียงด้านเดียว บิดเบือนพวกเรา…ผมขอเสนอวิธีฝ่าวงล้อมข่าวสาร พี่น้องช่วยผมได้ไหมครับ? หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เพื่อส่งข้อความสั้น (เอสเอ็มเอส) พร้อมกันว่า “ด่วน!ทหารเตรียมล้อมปราบประชาชน ส่งต่อ” ถึงคนที่รู้จักเท่าที่จะส่งได้ แล้วให้ผู้รับข้อมูลส่งต่อไปเรื่อยๆ”[๔]

เขาเป็นบุคคลสำคัญอีกคน ที่ขยายการใช้สื่อพลเมืองออกไปในวงกว้าง จนกระชากให้เห็นหมดเปลือก ถึงสิ่งที่ผู้มีอำนาจรัฐกำลังจะใช้กับคนมือเปล่า และในที่สุดก็ไม่สามารถทำในเวลานั้นได้ แต่กลับมาเกิดอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น

คนชายขอบ (Fringer)
สฤณี อาชวานันทกุล
เป็นนามแฝงที่ สฤณี อาชวานันทกุล หรือยุ้ย บรรณาธิการเว็บไซต์ โอเพ่นออนไลน์ (www.onopen.com)[๕]  นักเขียนอิสระ นักการเงิน นักวิชาการอิสระ และอาจารย์พิเศษ ใช้เป็นชื่อเว็บไซต์ของตนเอง (www.fringer.org) ที่นำเสนอในรูปแบบเว็บล็อก ซึ่งรวบรวมผลงานเขียนต่างๆ ของเธอไว้

สฤณีจบการศึกษาปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์ และปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจจากสหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน เป็นกรรมการบริหาร บริษัทวาณิชธนกิจเล็กๆ เน้นบริการที่ปรึกษาการเงิน แก่บริษัทขนาดกลาง เธอมีผลงานเขียนและแปลหลายเรื่อง โดยมีสำนักพิมพ์โอเพ่นบุ๊กส์ และ สำนักพิมพ์มติชน เป็นผู้รับจัดพิมพ์เกือบทั้งหมด นอกจากนี้ สฤณี ยังเขียนคอลัมน์ประจำ หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ, นิตยสารช่าวมติชนสุดสัปดาห์ และ นิตยสารสารคดี

สฤณีเป็นพลเมืองเน็ตอีกคนหนึ่ง ที่มีความสนใจในการเขียนข่าวลงบล็อก อันเป็นแนวทางหลักของวารสารศาสตร์พลเมือง สะท้อนจากการบรรยายของเธอหลายครั้งในหลายงาน ที่กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างละเอียด และมีความรู้ใหม่สอดแทรกไว้ด้วย

bact’
อาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล
เป็นนามแฝงที่ อาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล ผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายพลเมืองเน็ต นักพัฒนาระบบ บริษัท โอเพ่นดรีม จำกัด นักศึกษาปริญญาโท สาขามานุษยวิทยา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ช่วยวิจัย การประมวลผลภาษาธรรมชาติ เน้นการสืบค้นสารสนเทศ และการย่อความอัตโนมัติ ที่สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร ใช้เป็นชื่อเว็บล็อกของตนเอง ส่งผลให้คนรอบตัวหลายคน เรียกเขาตามชื่อออนไลน์ จึงไม่ค่อยมีใครรู้ว่า เขามีชื่อเล่นว่า “อาท”

อาทิตย์ให้ความสนใจกับการจัดการความรู้ ออกแบบสารสนเทศ สร้างภาพจากสารสนเทศ (Information Visualization) เครือข่ายสังคมออนไลน์ และวัฒนธรรมสารสนเทศเสรี นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ร่วมพัฒนาซอฟต์แวร์เสรี อย่างปลาดาวออฟฟิศ, โอเพ่นออฟฟิศ และ โมซิลลาไฟร์ฟอกซ์ รวมถึงเคยเป็นผู้ดูแลวิกิพีเดียไทย ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง ถึงราวกลางปี พ.ศ. ๒๕๔๙[๖]

อาทิตย์เป็นพลเมืองเน็ตอีกคนหนึ่งที่สนใจในวารสารศาสตร์พลเมือง อันเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่เขามีความสนใจอยู่เดิม สังเกตได้จากการเป็นสมาชิกเว็บไซต์หลายแห่ง มีบล็อกส่วนตัว (bact.blogspot.com) และเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในประชาไทด้วย[๗]

---------------------------------------------------------------------------------------------
[๗] bact’, “We Media” สื่อเรา เราสื่อเองได้, ประชาไท, ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐

ฅนข่าวเท้าติดดิน: บทที่ ๑๑ รวมมิตรสื่อพลเมืองสัญชาติไทย


รวมมิตรสื่อพลเมืองสัญชาติไทย

จาก: ฅนข่าวเท้าติดดิน
โดย: ภัทรพล สุธาวุฒิไกร


หลังจากทำความรู้จักกับสื่อพลเมืองที่สำคัญ ทั้งในรูปปัจเจกและในรูปองค์กรไปแล้ว แต่ในประเทศไทย ยังมีสื่อพลเมืองอีกจำนวนหนึ่ง ที่อาจไม่มีบทบาทโดดเด่นมากนัก แต่ก็นับว่าเป็นส่วนหนึ่ง ในระบบการเจริญเติบโตของวารสารศาสตร์พลเมือง

ดังนั้น เนื้อหาในบทนี้ จึงเป็นการอธิบายถึงสื่อพลเมืองของไทยโดยรวม ในลักษณะของการแนะนำเป็นรายแห่ง ดังต่อไปนี้

นักข่าวพลเมือง สถานีโทรทัศน์ทีวีไทย องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.)
เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ เทพชัย หย่อง ผู้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ทีวีไทย ทีวีสาธารณะ (ปัจจุบันเป็น ผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย) ร่วมกับผู้บริหารฝ่ายข่าว จัดแถลงข่าวเปิดตัวรายงานข่าวมิติใหม่ ในโครงการ “นักข่าวพลเมือง ทีวีไทย” ที่สตูดิโอฝ่ายข่าวของสถานีฯ

นายเทพชัย เปิดเผยว่า ทีวีไทย ทีวีสาธารณะ (ตั้งแต่ ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ใช้ชื่อว่า “ทีวีไทย” เท่านั้น) จะเปิดให้มีการอบรมเชิงปฏิบัติการแก่นักข่าวพลเมือง ซึ่งมีการฝึกทักษะการทำข่าว คือการเขียนข่าว การถ่ายภาพข่าว และการจับประเด็นข่าว โดยเน้นการปลูกฝังจริยธรรม และจรรยาบรรณในการนำเสนอข่าว

ทั้งนี้ การอบรมดังกล่าว จัดขึ้นเป็นครั้งแรก ที่จังหวัดนนทบุรี มีนักข่าวรุ่นแรก จำนวนกว่า ๔๐ คน โดยจะขยายการอบรมลักษณะดังกล่าว ไปทั่วทุกกลุ่มสังคมและทุกภาคของประเทศ เพื่อให้ได้อาสาสมัครนักข่าวพลเมือง ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ และทุกวัยทุกสถานะ อาทิ เยาวชน หรือคนพิการ

นอกจากนี้ ยังมีโครงการตั้งกองบรรณาธิการนักข่าวพลเมืองขึ้นใหม่ แยกจากกอง บ.ก.ข่าวทีวีไทย เพื่อรวบรวมข่าวสารจากพลเมืองทั่วประเทศ ควบคู่กับการตรวจสอบข้อเท็จจริงของประเด็นต่างๆ เหล่านั้น ร่วมกับศูนย์ข่าวภูมิภาคสามแห่ง ที่จังหวัดเชียงใหม่ สงขลา และขอนแก่น

นายเทพชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า ทางสถานีฯ กำลังจัดช่วงเวลานำเสนอข่าวพลเมือง ซึ่งในระยะแรกจะออกอากาศร่วมกับข่าวภาคหลักของทีวีไทย ทีวีสาธารณะ และรายการข่าวที่เกี่ยวข้อง โดยจะปรับนโยบายของสถานีฯ ให้เพิ่มความสำคัญกับการสะท้อนความคิดของชาวบ้าน ที่มีต่อข่าวกระแสหลักไปพร้อมกันด้วย[๑]

“นักข่าวพลเมือง” เริ่มนำเสนอเป็นช่วงหนึ่งของรายการ “ที่นี่…ทีวีไทย” ในทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา ๒๒.๐๐ น. และตั้งแต่วันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เปลี่ยนมาออกอากาศในช่วงสุดท้ายของข่าวค่ำ ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลาประมาณ ๒๐.๑๐ น. ตลอดจนในช่วงข่าว และรายการข่าวต่างๆ ที่ทางสถานีฯ เป็นผู้ผลิต แบบไม่เป็นประจำ

นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ทีวีไทยเปิดหน้าเว็บ “นักข่าวพลเมือง” ในเว็บไซต์ของ ส.ส.ท. โดยมีเนื้อหาข่าวพลเมืองที่นำเสนอไปแล้ว รวมทั้งเปิดให้บริการเว็บล็อกข่าว เพื่อเพิ่มช่องทางในการส่งข่าวมายังทีวีไทย ให้กับนักข่าวพลเมืองอีกทางหนึ่งด้วย

หนังสือพิมพ์เสรีชนรายสะดวก ของกลุ่มฅนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ
ท้องสนามหลวง ในวันพฤหัสบดีที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๙ นอกจากการชุมนุมต่อต้านเผด็จการทหาร ของเครือข่าย ๑๙ กันยาฯ ต้านรัฐประหาร, กลุ่มฅนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ และกลุ่มย่อยอื่นๆ ที่ดำเนินอยู่เป็นประจำทุกวันแล้ว ในวันนี้ยังมีแนวร่วมอุดมการณ์ประชาธิปไตยกลุ่มหนึ่ง นำหนังสือพิมพ์กระดาษปอนด์ขนาดเอ ๕ หรือเอ ๔ พับครึ่ง จำนวน ๓ แผ่น รวม ๑๒ หน้า มาแจกจ่ายผู้สัญจรผ่านไปมาบริเวณนั้น

เนื้อหาในหนังสือพิมพ์ดังกล่าวซึ่งมีชื่อว่า “เสรีชนรายสะดวก” แต่ระบุคาบวันที่เป็นรายสัปดาห์ ประกอบด้วยสองข่าวพาดหัวในหน้าหนึ่ง ข่าวย่อย บทความ และคอลัมน์ต่างๆ โดยประชาชนเล็กๆ ผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และต่อต้านเผด็จการ โดยมีพื้นที่โฆษณาการชุมนุมและปราศรัยที่ท้องสนามหลวง ในทุกวันเสาร์ เวลา ๑๖.๐๐ น. และเว็บไซต์ของกลุ่มฅนวันเสาร์ฯ (www.saturdayvoice.com ปัจจุบันกระทรวงไอซีทีปิดกั้นการเข้าถึง)

นับเป็นการคลายความกดดัน จากการนำเสนอข่าวด้านเดียวของฝ่าย คปค.ทางหนึ่ง ทว่าไม่มีการเปิดเผยแต่อย่างใดว่ากอง บก.เป็นใคร อย่างไรก็ตามเมื่อรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ สิ้นสุดลงในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๐ น.ส.พ.เสรีชน ก็ยุติการพิมพ์แจกจ่ายลง

เวลาต่อมา มีการเปิดเว็บไซต์ชื่อ “เสรีชน” (www.serichon.com) โดยมีอุดมการณ์สนับสนุนประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการทหาร เช่นเดียวกับ น.ส.พ.เสรีชน แต่ไม่ปรากฏความชัดเจนเช่นกันว่า มีผู้ดำเนินการเป็นกลุ่มเดียวกันหรือไม่ ทั้งนี้เสรีชนก็เป็นหนึ่งในเว็บไซต์ที่กระทรวงไอซีทีสั่งปิด ในช่วงเหตุการณ์สงกรานต์เลือด กลางเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๕๒ ด้วย

วิทยุชุมชน
การกำเนิดของวิทยุชุมชนนั้น ต้องย้อนกลับไปถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ในประเทศโบลิเวียและโคลัมเบียในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งเกิดขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์ทางการเมือง กลายมาเป็นวิทยุชุมชนผู้ใช้แรงงานในเหมืองแร่ของโบลิเวีย และสนับสนุนรวมทั้งตอบสนองความต้องการของชาวนา อันเป็นที่มาของวิทยุซูตาเตนซาในโคลัมเบีย นอกจากนี้ ซูตาเตนซายังพยายามเผยแพร่วิชาความรู้ทางวิทยุ อันเป็นแนวคิดระดับพื้นฐานของบริการสาธารณะ นับเป็นต้นกำเนิดของวิทยุชุมชนในอเมริกาใต้

ต่อมา ราวพุทธทศวรรษที่ ๒๕๐๓-๒๕๒๒ (คริสตทศวรรษที่ ๑๙๖๐-๑๙๗๙) มีการกระจายเสียงอย่างผิดกฎหมายหลายแห่งในยุโรป พร้อมทั้งดึงผู้ฟังมากมายไปจากสถานีวิทยุที่ผูกขาดโดยรัฐ อันเป็นการเร่งให้องค์กรกระจายเสียงแห่งชาติของรัฐบาล ต้องยอมเปิดให้ออกอากาศวิทยุท้องถิ่น แบบถูกต้องตามกฎหมาย

ในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ (ค.ศ. ๑๙๘๐) องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) เริ่มสนับสนุนให้มีวิทยุชุมชน โดยให้ความสำคัญกับแนวคิดพื้นฐานเชิงเสรีภาพ ในการแสดงความคิดเห็นและสิทธิมนุษยชน โดยมีวิทยุชุมชนโฮมาเบย์แห่งเคนยา รับข้อเสนอนี้เป็นประเทศแรก ตามด้วยวิทยุชุมชนมหเวลิของศรีลังกา แต่สถานการณ์การเมืองในโลกระยะนั้น มีความขัดแย้งแบ่งเป็นฝ่ายซ้าย-ฝ่ายขวา รวมถึงในประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่ง ก็ผูกขาดกิจการกระจายเสียงไว้ที่ฝ่ายรัฐเท่านั้น

หลายประเทศแถบยุโรป รับแนวความคิดของนักคิดหัวก้าวหน้า ในการกระจายเสียงเพื่อสาธารณะมาดำเนินการ เนื่องจากเห็นว่าสื่ออิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้  เป็นเครื่องมือที่ดีเยี่ยมสำหรับเผยแพร่ข่าวสาร การศึกษาและวัฒนธรรม อันนำไปสู่การพัฒนาสังคมต่อไป หากสื่อมวลชนบริหารงานเชิงธุรกิจ ก็อาจตกเป็นเบี้ยล่างของธุรกิจโฆษณาสินค้าได้ง่าย จึงคิดค้นแนวทางขึ้นเพื่อผ่อนคลายเงื่อนไขนั้น[๒]

สำหรับวิทยุชุมชนในประเทศไทย เริ่มทดลองกระจายเสียงเป็นปฐมฤกษ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจังหวัดจันทบุรีในระบบเอฟเอ็ม โดยนายสุรินทร์ แปลงประสพโชค (อดีตอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์) เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยขณะศึกษาปริญญาโท คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๔๑ กรมประชาสัมพันธ์ (กปส.) และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) รับมอบนโยบายจากรัฐบาลขณะนั้น ในการจัดทำโครงการวิทยุชุมชนเพื่อรองรับต่อเจตนารมณ์ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๔๐ ที่บัญญัติให้คลื่นความถี่ วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยเริ่มโครงการนำร่องวิทยุชุมชน ๑๙ จังหวัดทดลอง ในปีเดียวกันนั้น[๓]

จากนั้นในราวปี พ.ศ. ๒๕๔๕ วิทยุชุมชนเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับดอกเห็ด ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๖ จึงมีมติให้กำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดตั้ง “จุดปฏิบัติการเรียนรู้เกี่ยวกับวิทยุชุมชน” ขึ้นไว้เป็นมาตรการชั่วคราว ระหว่างที่ยังไม่มีการแต่งตั้ง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ (กสช.) แต่ในที่สุดก็ยังไม่สามารถมี กสช.ได้[๔]

จนกระทั่งเกิดรัฐประหาร เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ส่งผลให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ ซึ่งมีบทบัญญัติให้แต่งตั้ง กสช.สิ้นสุดลงไปพร้อมกันนั้น จึงทำให้ผู้ประกอบการยังคงอาศัยช่องว่างทางกฎหมาย ดำเนินการวิทยุชุมชนไปได้อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังมีประชาชนกลุ่มต่างๆ ที่รวมตัวกันเปิดเว็บไซต์ขึ้นเพื่อรวบรวมและนำเสนอข่าวเองอีกหลายแห่งเช่น สยามอินเทลลิเจนซ์ยูนิต ของกลุ่มนักวิชาการชาวไทย, กลุ่มพลเมืองเน็ตที่แยกตัวออกมาจากโต๊ะราชดำเนินพันทิปคาเฟ่ ได้แก่เว็บไซต์กลุ่มสื่อประชาชน, สื่อประชาชนพิทักษ์ไทย (เดิมคือ สำนักข่าวเนชั่นสยาม) และขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ดเป็นต้น

---------------------------------------------------------------------------------------------
[๒] คอลิน เฟรเซอร์/โซเนีย เอสตราดา, คู่มือวิทยุชุมชน, ยูเนสโก, กรุงเทพฯ, พ.ศ. ๒๕๕๐, หน้า ๑๔-๒๕
[๓] กาญจนา แก้วเทพ, คู่มือวิทยุชุมชน (FNS)

ฅนข่าวเท้าติดดิน: บทที่ ๑๒ นานาทรรศนะว่าด้วยวารสารศาสตร์พลเมือง


‘นานาทรรศนะ’ ว่าด้วย วารสารศาสตร์พลเมือง

จาก: ฅนข่าวเท้าติดดิน
โดย: ภัทรพล สุธาวุฒิไกร

จากการที่ผู้เขียน มีโอกาสได้สนทนากับนักวารสารศาสตร์พลเมือง และผู้สื่อข่าวพลเมืองระดับแนวหน้าของเมืองไทยหลายคน โดยมีคำถามที่เกี่ยวกับความรู้ และมุมมองเกี่ยวกับวารสารศาสตร์พลเมือง ในหลายประเด็นด้วยกัน ซึ่งจะได้รวบรวมนำเสนอไว้ในบทนี้

จุดกำเนิดและพัฒนาการของสื่อพลเมือง
ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข บ.ก.ประชาไท: เดิมในประวัติศาสตร์มนุษยชาติเนี่ย มันมีสื่อภาคพลเมืองอยู่อย่างเดียว คือการกระจายข่าวสารแบบซุบซิบนินทานั่นแหละ ซึ่งใช้ได้ผลมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นอกนั้นใบปลิวก็เคยมี แต่ก็ไม่ได้กระจายกว้างขวาง พลังของใบปลิวเนี่ยมันอาจจะพอๆ กับซุบซิบนินทา แล้วก็ต้องใช้ทุนสูงด้วย

ที่จริงความต้องการสื่อของพลเมืองเนี่ยมันมีมานานแล้ว เริ่มมาตั้งแต่อยากจะมีทีวีเสรี แล้วก็มีเกิดขึ้นเป็นไอทีวี แต่ปรากฏว่าเนื่องจากต้นทุนสูง ต้องลงทุนก็เลยไปให้สัมปทานเอกชน เลยกลายเป็นทีวีของเอกชนไปซะ ซึ่งผิดจากเจตนารมณ์แล้ว ทีนี้พอมีรัฐธรรมนูญ’๔๐ ที่ประชาชนทั้งประเทศยกร่างกันเนี่ย ก็มีความคิดว่าจะต้องมีสื่อภาคพลเมืองให้ได้ ก็พยายามจะทำเรื่องปฏิรูปสื่อ ทำเรื่องเอาคลื่นมาเป็นของสาธารณะ อะไรอย่างนี้ก็ทำไม่สำเร็จ จนกระทั่งมีรัฐประหาร’๔๙ ก็ผ่านไป ๑๐ ปี

สมบัติ บุญงามอนงค์ (บ.ก.ลายจุด, หนูหริ่ง): สื่อพลเมือง เป็นความพยายามของประชาชนที่จะมีพื้นที่สื่อสารในกลุ่มตัวเอง ที่มีช่องว่างเพราะไม่สามารถเข้าถึงคลื่นความถี่ซึ่งรัฐถือครองอยู่ และไม่สามารถผลิตสื่อแบบธุรกิจได้เพราะมีต้นทุนสูง ส่วนพลเมืองก็จะไม่มีเงินแต่มีประเด็น ปัจจุบันผมคิดว่าสื่อพลเมือง มีบทบาทสำคัญอยู่สองชนิด คือวิทยุชุมชนและอินเทอร์เน็ต

ชาลี วาระดี บรรณาธิการโอเคเนชั่น:  ที่จริงมันก็เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นรูปธรรมนะ อย่างเช่นเวลามีข้อมูล การทุจริตคอรัปชั่นของใครคนใดคนหนึ่ง แล้วก็ส่งไปให้สื่อมวลชน ก็ถือว่าเป็นการให้ข้อมูลกับสื่อ หรือมีข้อเขียนส่งไปให้สื่อมวลชนพิจารณา อันนี้ก็เป็นรูปแบบการทำงานของนักข่าวพลเมือง เพียงแต่ว่าที่มันก้าวมาถึงจุดนี้เนี่ย เพราะเขาสามารถมีพื้นที่เขียนเอง พอมีเว็บไซต์เขาก็เอาข้อมูลตรงนั้นมาเขียน

แต่ถ้าถามถึงจุดเริ่มต้น ถ้าจะเอาอย่างจริงๆ จังๆ นะ ที่สัมผัสได้ก็จะมีเหตุการณ์ระเบิดรถไฟใต้ดิน ในลอนดอน ที่อังกฤษ อันนี้เป็นปรากฏการณ์ที่วงการสื่อเขาหยิบเป็นกรณีศึกษา ก็คือคนที่อยู่ในรถไฟเนี่ย ซึ่งเป็นผู้ประสบเหตุเอง เขาก็ใช้โทรศัพท์มือถือ ซึ่งเทคโนโลยีมันให้ล่ะ แล้วก็ถ่ายรูปเหตุการณ์ไว้ พอดีจังหวะที่สถานีข่าวบีบีซีเขาก็เปิดรับรูปจากมือถือ ภาพเหตุการณ์ข้างในก็มีคนส่งเข้าไปทางเว็บไซต์เขาแล้วก็เอาไปออกทีวี

มันก็กลายเป็นปรากฏการณ์นักข่าวพลเมือง ซึ่งทำให้สื่อกระแสหลักสนใจเข้าไปสัมผัสตรงนั้น เพราะประเด็นของประโยคที่ว่า นักข่าวไม่สามารถอยู่ในทุกพื้นที่ และทุกคนเป็นนักข่าวได้ ทุกคนสามารถช่วยกันสื่อสารออกไปได้ นั่นเป็นจุดหนึ่ง และมีกรณีเกิดเรื่องปรากฏการณ์สึนามิของไทยเราซึ่งมีคนเข้าไปเขียนเรื่องมากมาย อะไรอย่างนี้ เรื่องพายุนาร์กีสที่พม่า คนก็ส่งภาพถ่ายเข้าไปสู่บล็อก สู่เว็บไซต์ สู่ยูทูบ ก็ทำให้นักข่าวพลเมืองกระเพื่อมขึ้นมาค่อนข้างรุนแรง


อาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล (Bact’): ไม่รู้แฮะ กำเนิดที่แท้จริงคิดว่ามันคงไม่มีวันเกิดแบบที่ระบุได้ หรือกระทั่งมาจากที่ไหน คิดว่ามันก็เป็นกระแสโลก เกิดขึ้นพร้อมกันในหลายๆ ที่ คงเกิดก่อนจะมีคำเรียกว่าวารสารศาสตร์พลเมืองแน่ ถ้าพูดถึงกระแสความสนใจในวงกว้าง โดยเฉพาะความเข้าใจอย่างปัจจุบัน ในคำเรียกว่าวารสารศาสตร์พลเมืองหรือวารสารศาสตร์รากหญ้า (Grassroot Journalism) นี่ก็คงจะประมาณ ๕ ปีได้

ก่อนหน้านี้ก็มีแนวคิดเรื่องสื่อชุมชนมาก่อนแล้ว ซึ่งก็ค่อยๆ มาสู่สื่อพลเมือง โดยทั้งหมดนี่ แนวคิดหลักๆ ก็คือ ทำอย่างไรให้คนทั่วไปมีส่วนร่วมกับการผลิตสื่อได้มากขึ้น สื่อชุมชนนี่คนทำอาจยังเป็นพวกมืออาชีพ แต่ระยะห่างก็ย่นเข้ามาใกล้กับคนทั่วไปมากขึ้น ส่วนสื่อพลเมืองนี่ก็เอ้า!ทำเองเลยแล้วกัน ทุกคนเป็นนักข่าวได้ ไม่รู้จะระบุลงไปว่ามันเกิดตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ


วิทยุชุมชน
ชูวัส: รัฐธรรมนูญ’๔๐ บัญญัติให้คลื่นเป็นของสาธารณะ จึงทำให้วิทยุคลื่นสั้นซึ่งเคยเป็นของรัฐ ชาวบ้านทำเองได้หมด วิทยุชุมชนเนี่ยเป็นสื่อภาคพลเมืองอันหนึ่ง ซึ่งเราอาจจะมองข้ามเพราะเราอยู่ในเมือง แต่ที่อยู่ในเมืองก็มีนะ วิทยุชุมชนจะเป็นของชนบทเป็นหลักที่ทำเรื่องนี้ กระจายข่าวสารกันในกลุ่มเล็กๆ ในระยะ ๓๐ กิโลเมตร บ้าง ๑๐ กิโลเมตรบ้าง รัศมีตามนั้น

ซึ่งระยะยาวแล้วเนี่ย เส้นทางของวิทยุชุมชนจะเดินคู่กับอินเทอร์เน็ต คือรายการหรือข้อมูลความรู้จะมาจากอินเทอร์เน็ต แล้ววิทยุชุมชนก็เอาไปเผยแพร่ต่อเป็นช่องทางหนึ่ง รวมทั้งอินเทอร์เน็ตก็กลายเป็นช่องทางสำหรับการทำวิทยุให้กับวิทยุชุมชนด้วย เป็นรายการเป็นอะไรกันก็ว่าไป

เพราะฉะนั้นในสังคมไทยปัจจุบันเนี่ย มันจะมีผ่านสื่อสองชนิด คืออินเทอร์เน็ตกับวิทยุชุมชน ซึ่งก็มีแบ่งย่อยออกไปอีกนะ มีประเภทวิทยุชุมชนที่ชาวบ้านทำเองแล้วพยายามอยู่ให้รอด ก็คือขอโฆษณาบ้างอะไรบ้าง กับที่พยายามไม่ขอโฆษณาเพื่อจะได้เป็นอิสระ

ถ้ารัฐมาจำกัดหรือควบคุมวิทยุชุมชน แน่นอน สื่อภาคพลเมืองก็หายไป ปัญหาคือว่าทำไมรัฐถึงต้องเข้ามาควบคุม เพราะกลัวเขาเห็นต่างจากรัฐใช่ไหม กลัวเขาวิจารณ์รัฐใช่ไหม ซึ่งมันก็ต้องตั้งคำถามกลับไปว่าตกลงสื่อเป็นของใครล่ะ คลื่นเป็นของใครล่ะ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นของใครล่ะ แล้วจะเข้ามาควบคุมได้อย่างไร รัฐก็ต้องตอบคำถามเหล่านี้ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ท้าทาย ซึ่งทุกรัฐก็พยายามจะควบคุมสื่ออยู่แล้ว นี่เป็นเรื่องปกติที่จะเกิดขึ้น ก็ต้องสู้กันไป

คือตอนนี้สู้กันทั้งในระดับนโยบายรัฐ ก็มีคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) ซึ่งทำงานเรื่องนี้อยู่ ก็พยายามเข้าไปท้วงติงว่า กฎหมายวิทยุชุมชนต้องยึดหลักเรื่องคลื่นเป็นของสาธารณะอยู่นะ ต้องให้ชาวบ้านได้ทำ ถ้าคิดว่ามีปัญหาเรื่องการควบคุมว่ามันจะสะเปะสะปะ มันจะไปรบกวนคลื่นเครื่องบินหรืออะไร ก็ต้องให้จดทะเบียนอย่างเสรี ก็คือถ้าใครจะไปขอก็ต้องขอได้ นี่ก็เป็นการสู้ในระดับนโยบายอยู่ ซึ่งสังคมไทยน่าจะตกผลึกพอสมควรแล้ว เพราะรัฐธรรมนูญ’๔๐ กับรัฐธรรมนูญ’๕๐ ก็ระบุตรงกันว่าคลื่นเป็นของสาธารณะ

ปัญหาอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย คือหลักการบังคับชัดเจนว่าสื่อเหล่านี้ คลื่นความถี่และข้อมูลข่าวสารที่วิ่งอยู่ในสายเคเบิล เป็นของสาธารณะแน่นอน ปัญหาคือเวลาที่บังคับใช้กฎหมายเนี่ย รัฐก็พยายามจะควบคุมจนทำให้ไม่มีทางเป็นของชาวบ้านได้จริง มันเหมือนกับบอกว่ามนุษย์มีเสรีภาพในการเดินทาง แต่คุณคิดค่ารถหนึ่งหมื่นบาท คนก็ไปไม่ได้ แต่ก็มีเสรีภาพในการเดินทางนะ แต่คุณไม่เดินทางเอง เพราะคุณจน นั่นก็คือกระบวนการบังคับใช้ไม่เป็นจริง

เพราะฉะนั้น ปัญหาของสังคมไทยตอนนี้จึงเป็นเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย หลักการมันดี แต่คุณจะบังคับใช้อย่างไร คุณจะจดทะเบียนแล้วเก็บเงิน ชาวบ้านก็ไม่มีจ่ายก็ไม่ต้องทำวิทยุ อย่างนี้ก็ไม่ได้ คุณจะมาบอกว่าคลื่นเป็นของสาธารณะด้วย แต่ต้องรับจดทะเบียนที่สอดคล้องกับความเป็นไปได้ด้วย ที่จะทำให้เขาเป็นเจ้าของคลื่นจริงๆ

ความแตกต่างกับโทรทัศน์สาธารณะ
ชูวัส: มันมีความแตกต่างอยู่เยอะพอสมควรนะ คือหนึ่งเราไม่ได้ทุนจากรัฐ แต่สื่อทีวีสาธารณะซึ่งมีอยู่ช่องเดียวตอนนี้ได้ทุนจากรัฐ แม้เขาจะเป็นอิสระเนื่องจากกฎหมายบังคับให้เขาเป็นอิสระ บังคับให้รัฐต้องให้เงินโดยห้ามผูกพันการทำข่าวใดๆ ทั้งสิ้น แต่ว่าก็มีกรรมการ ปรัชญาก่อตั้งในการกำกับเขาอยู่ ซึ่งความคล่องตัวในการเสนอข่าวสารของเขาก็จะไม่เท่าเรา ส่วนที่แตกต่าง สำคัญที่สุดเลยก็คือพื้นที่เขามีจำกัดเพียง ๒๔ ชั่วโมงเท่านั้น แต่ของเราพื้นที่ไม่จำกัดคือคุณจะโพสต์กี่หน้าก็ได้ จะใส่กี่เรื่องก็ได้ เพราะเว็บไซต์รองรับได้หมด

ข้อแตกต่างอีกอันหนึ่งคือเรื่องของการเข้าถึง ทีวีสาธารณะเนี่ยการเข้าถึงของคนทั่วไปจะยากกว่า เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลาที่มี ๒๔ ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น สูงสุดไม่มากไปกว่านี้ เพราะเขามีช่องเดียว แต่ประชาไทใครๆ ก็เข้าถึงได้ เข้าถึงทั้งในแง่ของการส่งบทความส่งข่าว หรือการตอบโต้แสดงความเห็น แต่กับทีวีสาธารณะที่มีอยู่เนี่ยทำไม่ได้เลย ตอบโต้ได้น้อยมาก ส่งเอสเอ็มเอสก็อาจต้องถูกเซ็นเซอร์หรือถูกคัดกรอง แต่กับประชาไทนี่ค่อนข้างเปิดเสรีเต็มที่ คือทุกคนเข้าถึงได้หมด เขียนข่าวได้ส่งข่าวได้ ผ่านกระทู้ผ่านเว็บบอร์ดผ่านอะไรได้หมด คือการเข้าถึงมันมากกว่า

สรุปก็คือ ประชาไทเป็นสำนักข่าวที่สาธารณะเข้าถึง แต่ทีวีสาธารณะเนี่ยมันเป็นทีวีที่ใช้เงินสาธารณะ แต่ไม่ใช่ที่สาธารณะเข้าถึง มันมีความต่างตรงนี้

อินเทอร์เน็ต
ชาลี: ผมคิดว่ากระแสของทิศทางที่นำเสนอมีความสำคัญ ทั้งในส่วนประชาชนซึ่งต้องการข้อมูล ที่มากกว่าการนำเสนอข่าวด้านเดียวของสื่อกระแสหลัก เพราะเวลาดูทีวีหรืออ่านหนังสือพิมพ์ เราไม่สามารถแสดงความคิดเห็นเข้าไปได้ทันที แต่ถ้าคุณอ่านเว็บไซต์ก็แสดงความคิดเห็นได้ทันที ยิ่งกว่านั้นถ้าเขียนลงบล็อกส่วนตัวของเรา ก็จะเป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัว ที่สร้างการมีส่วนร่วมในสังคม ในฐานะที่เป็นสื่อพลเมือง และกระแสนี้ก็ค่อนข้างได้รับความนิยมสูง

แม้ปัจจุบันจะมีเรื่องไดอารีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อะไรอย่างนี้ แต่เรื่องนี้ก็ต้องผลักดันและต้องสร้างให้เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง แล้วผมว่าได้รับการตอบรับค่อนข้างดี สังเกตจากเรื่องในบล็อกของเราระยะแรก ส่วนมากจะเป็นการคัดลอกข่าวจากเว็บไซต์ข่าวอื่นมาลง ซึ่งผมไม่เห็นด้วย แม้จะอ้างอิงแหล่งที่มา แต่มันก็ไม่ได้ก่อให้เกิดสติปัญญา เพราะฉะนั้นเรื่องอย่างนี้เราจะไม่ค่อยสนับสนุนเท่าไร แต่ในระยะหลังเริ่มน้อยลง คนเริ่มเขียนวิจารณ์ข่าว แต่ก็ไม่ได้ถือเป็นนักข่าวพลเมืองนะ ก็เหมือนเราเป็นคอลัมนิสต์ทางออนไลน์

อย่าลืมว่าสื่อกระแสหลัก ก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของภาคประชาชนได้หมด ประชาชนสามารถคิดอ่าน บางครั้งยังเสนอแนะให้แง่คิดดีๆ กับสังคมได้มากกว่าสื่อกระแสหลักด้วยซ้ำไป สมมติถ้าเป็นนักข่าว แล้วต้องไปทำเรื่องเกี่ยวกับการรักษา หรือการวินิจฉัยโรคก็ไม่สามารถทำได้ แค่สามารถตั้งคำถามกับแพทย์ได้ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น แพทย์คนนั้นเรียนเขียนข่าวแล้วมาเขียนข่าวเองล่ะ จะเขียนได้ลึกกว่าหรือเปล่า และจำเป็นต้องมีนักข่าวอีกไหม

เรื่องนี้ก็เป็นการตอบโจทย์ ของการเขียนบล็อกหรือการทำเว็บไซต์ คือคนเขียนจะมีความน่าเชื่อถือ และมีคุณภาพที่ไม่ด้อยไปกว่าสื่อกระแสหลัก

ชูวัส: อินเทอร์เน็ตมันบูม กลายเป็นวิถีชีวิต เป็นเครื่องมือหลักของคนทั่วไป แล้วทุกคนก็สามารถผลิตสื่อได้ เนื่องจากอินเทอร์เน็ตต้นทุนมันถูก ผมคิดว่าจุดเปลี่ยนมันอยู่ที่เมื่ออินเทอร์เน็ตมันแพร่กระจาย นั่นแหละเป็นจุดเปลี่ยน ที่ทำให้ข่าวของพลเมืองเกิดขึ้นเป็นจริงได้ เดิมไม่มีช่องทางเลย คุณจะพิมพ์หนังสือพิมพ์ภาคพลเมือง คุณก็ต้องใช้เงินเป็นล้าน แต่อินเทอร์เน็ตไม่ต้องถึงขนาดนั้น ทุกคนสามารถเขียนบล็อกได้ ทุกคนสามารถมีเว็บไซต์ได้

เพราะฉะนั้นนวัตกรรมของอินเทอร์เน็ตที่เกิดขึ้นในโลก จึงทำให้สื่อภาคพลเมืองเกิดขึ้นจริงเป็นครั้งแรกของโลก มันเป็นเรื่องที่หยุดยั้งไม่ได้แล้ว ไม่มีประชาไทก็ต้องมีองค์กรอื่นขึ้นมาทำ คือตอนนี้ก็มีบล็อกเต็มไปหมดเลย ต่างประเทศนี่เยอะมาก ของไทยนี่อาจจะ…บล็อกที่เป็นเกี่ยวกับเรื่องพลเมืองเนี่ย อาจเป็นเรื่องปัจเจกบุคคลไป เล่าเรื่องของตัวเองอะไรก็ว่าไป มันต้องเกิดขึ้นอยู่แล้วตามโลก

มนุษย์มีเสรีภาพเนี่ย ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากมีคนประกาศว่า มนุษย์มีเสรีภาพ แต่มันเกิดขึ้นมาจากเจมส์ วัตต์คิดค้นเครื่องจักรไอน้ำ ทำให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม มนุษย์ก็หลุดออกมาจาก(ความเป็น)ไพร่ ทาส (เก็บเกี่ยวผลผลิตอยู่กับ)ที่นา มาทำโรงงานอุตสาหกรรมเป็นพ่อค้า ก็เลยเกิดเสรีภาพ ทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นอย่างนี้ คือสื่อภาคพลเมืองก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาจาก อาจารย์จอนหรือประชาไทประกาศว่าจะตั้งสื่อภาคพลเมืองแล้วมันเกิด แต่ที่มันเกิดก็เพราะอินเทอร์เน็ตมันเกิด

ความแตกต่างกับสื่อมวลชนกระแสหลัก
สมบัติ: ผมเห็นว่า สื่อมวลชนจะต้องเป็นสื่อที่มีผู้รับชมรับรู้ในวงกว้าง และมักจะอยู่ในมือของรัฐหรือทุน เอกชน แต่ขณะที่ สื่อภาคพลเมืองจะอยู่ในมือของคนเล็กคนน้อย และในบางสื่อภาคพลเมืองอาจมีความหมายเป็นสื่อมวลชนด้วย เพราะมีคนจำนวนมากเข้าไปรับรู้ได้ ยกตัวอย่างเป็นรูปธรรมเช่นเว็บประชาไท หรือเว็บไซต์ชุมชนออนไลน์ต่างๆ ที่มีบริการให้เข้าถึงได้

ชาลี: ระเบียบ จริยธรรม จรรยาบรรณก็ต่างกันแล้ว ของสื่อมวลชนค่อนข้างจะเข้มงวดกว่า ของบล็อกเกอร์นี่ รูปแบบการเขียนข่าวก็ต่างกัน วิธีการนำเสนอก็ไม่เหมือนกัน สื่อมวลชนอาจจะได้รับมอบหมายมา หรือเรียนมาทางนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ การเขียนข่าวจะมีความรอบด้าน และมีลูกเล่นมากกว่า อาจจะเป็นการสื่อสารสองทาง หมายถึงว่าเกิดเหตุแล้ว ต้องถามผู้เสียหายด้วย ถามคนก่อเรื่องด้วยทั้งสองฝ่าย ซึ่งตรงนี้นักข่าวพลเมืองอาจรายงานแค่เฉพาะเรื่องที่ไปเจอมา อย่างรายงานอุบัติเหตุก็ถ่ายรูปส่งเข้าไป

เพราะฉะนั้นความเข้มข้นหรือกฎกติกาเนี่ย มันต่างไปจากของผู้สื่อข่าวของสื่อกระแสหลัก แต่ถามว่าในตัวของนักข่าวพลเมืองเอง เขาก็มีกติกามารยาทของพวกเขาอยู่ มันก็มีระดับความเข้มข้นไม่เท่ากันอยู่แล้ว แต่ถามว่ามันต่างกันไหม จริงๆ แล้วถ้าดูจากเนื้อหาหรือในบล็อกของผมเนี่ย ก็จะเห็นว่าไม่ได้ต่างไปจากหนังสือพิมพ์เลย เพราะฉะนั้นสื่อที่เป็นภาคพลเมืองเนี่ย เขาจะจับจุดว่าสนใจเรื่องอะไร และจะได้ไปทำเรื่องนั้น

ความใกล้ชิดกับเอ็นจีโอ
ชูวัส: มันเป็นอย่างนั้นเพราะเราตั้งใจให้เป็นอย่างนั้น เพราะประชาไทเกิดขึ้นด้วยเหตุนั้น คือเอ็นจีโอส่วนใหญ่แล้วจะจับปัญหาในพื้นที่เฉพาะด้านไป คือไม่ได้ดูแลในทุกด้าน เช่นด้านสิ่งแวดล้อม ด้านพลังงาน เรื่องเด็ก เรื่องผู้ติดเชื้อเอชไอวีอะไรอย่างนี้ ก็จะเป็นเฉพาะด้านไป ทีนี้เดิมข่าวพวกนี้ หรือแม้แต่ปัจจุบันก็ตาม ไม่ค่อยได้รับความสนใจในสื่อกระแสหลักเท่าไหร่ ฉะนั้นอาจารย์จอนก็เลยคิดว่า ทั้งที่ข่าวพวกนี้สำคัญต่อคนต่อบ้านเมือง ควรต้องมีเวที เลยเกิดประชาไทขึ้น

เพราะฉะนั้นประชาไท ตั้งอยู่บนฐานของเครือข่ายเหล่านี้อยู่แล้วแต่เดิม จุดประสงค์ที่มีขึ้นมาเพื่อจะนำเสนอเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว ซึ่งไม่ค่อยจะเป็นข่าว สื่อกระแสหลักไม่ค่อยให้ความสำคัญ เนื่องจากไม่ได้รับความสนใจโดยทั่วไป เป็นข่าวหนักๆ ที่คนไม่อ่าน แต่จะมีความสำคัญ ซึ่งเมื่อมันมีช่องว่าง ไม่มีคนนำเสนอข่าวนี้ ประชาไทเลยเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้ จึงเป็นข่าวสารเริ่มจากเอ็นจีโอทุกๆ ด้านรวมๆ กัน คือประเทศไทยมีเอ็นจีโอทุกด้านล่ะ ประชาไทก็นำเสนอข่าวทุกด้าน ก็เลยครอบคลุมทั้งหมด

เพราะฉะนั้น ฐานมันตั้งมาจากการนำเสนอข่าวสารพวกนี้อยู่แล้ว ประชาไทจึงเป็นสำนักข่าวที่ใกล้ชิดกับเอ็นจีโอ เพราะวันที่เอ็นจีโอไม่มีพื้นที่ในสื่อกระแสหลักเขาก็จะหันมาประชาไท หรือทุกวันนี้ก็คือเขาส่งไปสื่อกระแสหลักแล้วก็ส่งมาประชาไทด้วย เพราะประชาไทเป็นของตายให้เขาในการนำเสนอข่าว แล้วก็มีผู้อ่านอยู่จำนวนหนึ่งที่แอกทีฟ ประชาไทจึงแยกกับเอ็นจีโอไม่ออกหรอก แล้วการบริหารงานของเราก็เป็นลักษณะแบบเอ็นจีโอ ก็คือเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร แล้วก็ไม่ใช่รัฐ

เปิดพื้นที่สื่อให้พลเมืองอื่น
ชูวัส: ยังมีกลุ่มที่ไม่ใช่เอ็นจีโอด้วย เช่นเสื้อแดงเสื้อเหลือง แต่โอเคเสื้อเหลืองเขามีทีวีของเขามีสื่อของเขา เราก็อาจจะให้ความสำคัญน้อยหน่อย เพราะว่าเสื้อแดงไม่มีทีวี ถูกปิดกั้น ทีวีหลักไม่เสนอเพราะเป็นทีวีของรัฐ เพราะเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐ เราก็เสนอมากหน่อย อันไหนที่ถูกปิดกั้นสื่อ เราจะเข้าไปหาเขา

อย่างเสื้อแดงเนี่ยไม่ใช่เอ็นจีโอ แม้จะมีกลิ่นของนักการเมืองอยู่บ้าง แต่ก็มีจำนวนหนึ่งที่ไม่ใช่นักการเมือง เราก็ไม่เสนอข่าวของนักการเมือง อย่างจตุพร พรหมพันธุ์ที่เป็นนักการเมืองในกลุ่มเสื้อแดง แต่เราก็เสนอการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงในฐานะที่เป็นประชาชนทั่วไป กลุ่มเหล่านี้ก็ไม่ใช่เอ็นจีโอแต่เป็นพลเมืองส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้นเอ็นจีโอเป็นพลเมืองส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ประชาไทมอง คือเราก็ต้องมองไปที่อื่นๆ ที่เป็นพลเมืองด้วย

รวมทั้งกลุ่มที่ไม่มีสี เช่นกลุ่มเกษตรกรประท้วง กลุ่มแรงงานซึ่งไม่มีเอ็นจีโอ หรือไม่ได้อยู่ในสังกัดเอ็นจีโอ ก็เข้าไปทำข่าวช่วยเหลือเขา ก็เป็นพลเมืองทั้งนั้น คือเอ็นจีโอก็มีพื้นที่สนามที่เขาตามปัญหาแต่ละปัญหาของเขาอยู่ เขาดูเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องพลังงาน อะไรก็ว่าไป แต่มันจะมีส่วนหนึ่งที่หลุดออกมา ที่ไม่มีเอ็นจีโอคอยให้การสนับสนุน กลุ่มพลเมืองอื่นๆ พวกนี้เราก็ต้องเข้าไปช่วยนำเสนอข่าวให้เขา

ชาลี: (บล็อกเกอร์)ส่วนมาก เป็นคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลสมัครรัฐบาลทักษิณ คนกลุ่มนี้จะมาเขียนเยอะ ถามว่าคนกลุ่มอื่นจะมาเขียนได้ไหม ก็ได้ แต่ปัญหาคือ อ่านแล้วไม่ค่อยประเทืองปัญญาน่ะ แล้วพวกนี้ก็จะหายไป บางทีเขาบอกว่าโอเคเนชั่นเป็นกลุ่มพันธมิตรฯ ก็เป็นสื่อภาคประชาชนน่ะ พันธมิตรฯเลยมาเขียนเยอะ เราห้ามได้หรือเปล่า บอกว่าห้ามมาเขียนบล็อกผมนะ ห้ามเชียร์เสื้อแดงห้ามเชียร์เสื้อเหลืองนะ ผมมีสิทธิอะไรไปห้ามเขาล่ะ

เพราะฉะนั้นคนที่มาเขียนบล็อกเนี่ย ก็จะมีนักข่าวพลเมืองที่ทำงานเป็นกลไกของพันธมิตรฯ เข้ามาเขียน ก็เลยจะมีกลุ่มนี้เยอะ แล้วอีกกลุ่มหนึ่งมาเขียนได้ไหม ก็ได้ ถ้าเขียนแล้วมีวุฒิภาวะเหมือนชาวบ้านเขา ผมก็ว่าเขียนได้นะ สังคมเราน่าจะยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้

ฅนข่าวเท้าติดดิน: บทที่ ๑๓ ภายภาคหน้าของวารสารศาสตร์พลเมือง


‘ภายภาคหน้า’ ของวารสารศาสตร์พลเมือง

จาก: ฅนข่าวเท้าติดดิน
โดย: ภัทรพล สุธาวุฒิไกร

เมื่อได้อธิบายถึง ความเป็นมาและสิ่งที่เป็นอยู่ ของการเป็นวารสารศาสตร์พลเมืองไปแล้ว บทสุดท้ายนี้ควรจะได้กล่าวถึง ความเป็นไปที่จะเกิดขึ้นในอนาคตกันบ้าง ซึ่งผู้เขียนได้รับทรรศนะที่น่าสนใจ จากหนูหริ่งและชูวัส หวังว่าความคิดเห็นเหล่านี้ จะช่วยให้ผู้อ่านสรุปได้ว่า วารสารศาสตร์พลเมืองจะก้าวหน้าไปไกลแค่ไหน

ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข
มันจะเติบโตไปอย่างยากที่จะมีอะไรหยุดยั้งได้ การปิดกั้นอินเทอร์เน็ตไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้อีกแล้ว ยังไม่มีเทคโนโลยีไหนที่ปิดกั้นความคิดเห็นทางอินเทอร์เน็ตได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็หลุดรอดได้ ดังนั้นสิ่งที่จะมากำกับก็คือวัฒนธรรม คนจะรู้ได้เองว่าอะไรควรไม่ควร นั่นคือเครื่องมือสำคัญที่สุด ในการควบคุมว่าอะไรควรไม่ควร ไม่มีเครื่องมือไหนทางเทคโนโลยีควบคุม มีแต่ว่าสิ่งดีงามในใจเราเองนี่แหละ ที่จะไปบอกว่าอะไรควรควบคุม

ฉะนั้นสังคมจึงต้องออกแบบ ไม่ใช่เรื่องเทคโนโลยีหรือเครื่องมือหรือการลงทุน ๕๐๐ ล้านเพื่อปิดกั้นสื่อ แต่ควรให้การศึกษา ให้คนรู้จักรับผิดชอบต่อการโพสต์หรือการเขียนข่าวของตัวเอง ไม่มีอะไรหยุดยั้งมันได้ เสียเวลาเปล่าแล้วก็ไม่ได้ประโยชน์ด้วย ควรเปิดเสรีให้เต็มที่แล้วใจกว้างมากขึ้น ง่ายกว่าการไปปิดกั้นเยอะ ความผูกขาดสื่อ ที่เชื่อกันว่าทำได้เฉพาะวิชาชีพที่เรียกว่าสื่อมวลชน จะลดน้อยลง ชาวบ้านจะเขียนข่าวเองได้มากขึ้น จะกล้าเขียนข่าวมากขึ้น แล้วก็เขียนเป็น มีความรับผิดชอบสูงขึ้น

ฉะนั้นฐานันดรของสื่อจะหมดอำนาจวาสนาลง ความเป็นวิชาชีพของสื่อมวลชนจะลดลง ความเป็นผู้สื่อข่าวภาคพลเมืองที่เรียกว่า “ผู้สื่อข่าวรากหญ้า” จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และความน่าเชื่อถือก็จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับความน่าเชื่อถือของสื่อมวลชนกระแสหลักและที่เป็นวิชาชีพ

นี่เป็นเทรนด์ที่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน ที่จริงเป็นคำที่เขาใช้กันมา เชยๆ แล้วนะ ก็คือ “เว็บ ๒.๐” จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน ก็คือทุกคนสามารถเขียนข่าวได้ ทุกคนสามารถอินเตอร์แอคทีฟมันได้ โพสต์ข่าวขึ้นเองได้ คือผมคิดว่าหลักๆ เลยใน ๑๐ ปีข้างหน้า ความเป็นฐานันดรของวิชาชีพสื่อจะถูกท้าทาย คนจะให้น้ำหนักกับนักข่าวพลเมืองเท่าๆ กับวิชาชีพสื่อ ไม่ใช่เพราะคุณเป็นเนชั่น-มติชนแล้วคนจะเชื่อคุณ ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว

คนอาจจะเชื่อบล็อกของนาย ก.นาย ข.ก็ได้ บล็อกอย่าง “นิว แมนเดลา” หรืออย่าง “บางกอกบัณฑิต” ทุกวันนี้ได้รับความน่าเชื่อถือมากกว่าเนชั่นเสียอีก ทั้งที่เป็นตัวบุคคล เพราะฉะนั้นคนจะใช้วิจารณญาณในการตัดสิน และคิดกับข่าวอย่างจริงจังมากขึ้น มากกว่าการใช้สถาบันมารองรับมาตีตราว่า พอเป็นเนชั่นหรือเป็นมติชนแล้วคนจะเชื่อ ไม่จำเป็นอีกต่อไป อินเทอร์เน็ตนี่มันมากับโลกยุคโพสต์-โมเดิร์นจริงๆ คือมันถอดรื้ออะไรที่คิดว่ามันน่าเชื่อถือ อะไรที่คิดว่าใช่แล้วดีงามแล้ว มติชน-เนชั่นประทับตราว่าสิ่งนี้ดีเนี่ย มันจะถูกท้าทายโดยสื่อพลเมืองทั้งหมด

สมบัติ บุญงามอนงค์
ผมเชื่อว่าสื่อภาคพลเมือง จะเกาะกระแสเรื่องอินเทอร์เน็ต ประกอบกับการควบรวมของสื่อประเภทต่างๆ ที่มีอยู่ แล้วเชื่อมโยงผ่านอินเทอร์เน็ต ผมคิดว่าภายใน ๑๐-๒๐ ปีข้างหน้า บทบาทของสื่อภาคพลเมืองจะสำคัญมาก และอาจหมายถึงการเชื่อมโยงสื่อมวลชนอื่นๆ ด้วย

ผมคิดว่ารายการโทรทัศน์บางรายการ อาจต้องเชื่อมโยงกับเนื้อหาหรือกลุ่มต่างๆ ที่อยู่ในภาคพลเมือง อย่างเช่นถ้าเราสัมภาษณ์สดทางโทรศัพท์ ก็อาจจะมีจอเป็นหน้าตาเข้ามาเลย หรือถ้าชำนาญมากๆ เราก็อาจจะควบคุมเนื้อหาได้เอง โดยไม่ต้องรอให้ทางรายการตัดภาพอินเสิร์ตเข้ามาให้

อย่างตอนนี้ก็มีโปรแกรมที่ใช้กับเว็บแคม ตอนที่กำลังสนทนากันอยู่ ก็สามารถดึงภาพจากวิดีโอ งานนำเสนอ หรือแสดงภาพหน้าจอมาแทนที่ภาพจากเว็บแคมได้ ผมคิดว่าจากแนวคิดเดียวกันนี้ แต่มันจะไม่ใช่จอเล็กเพราะความเร็วในการรับส่งสูงขึ้น ก็สามารถส่งภาพที่มีคุณภาพสูงไปออกรายการโทรทัศน์ได้เลย อะไรอย่างนี้เป็นต้น